1. อยากเห็นภาพรวม
ต้องอ่านบทสรุป!
แน่นอนว่าผู้เขียนส่วนใหญ่นั้น มักมีการเขียนในบทต้นๆ ของเนื้อหาที่ยืดเยื้อ เกริ่นนำยาวเป็นหน้าๆ และใช้การพรรณนาที่ยืดยาวเกินจำเป็น รวมไปถึงชีวประวัติของผู้เขียนเอง ซึ่งเป็นการเกริ่นนำไปสู่เนื้อหาจริง แต่หากมัวอ่านการไล่เรียงพรรณนาของผู้เขียนตั้งแต่แรกเริ่มนั้น คงเสียเวลาแย่ เราจึงมีวิธีลัดที่จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจไว และเห็นภาพรวมของเนื้อหามากขึ้น นั้นคือการอ่านบทสรุปก่อน เพราะผู้เขียนจะสรุปเนื้อหาและข้อมูลทั้งหมดไว้ในส่วนท้ายของเนื้อหา เมื่อเราอ่านส่วนท้ายบทแล้ว จะทำให้มองเห็นภาพรวมของเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น และเมื่อกลับมาอ่านเนื้อหาแรกเริ่มอีกครั้งจะทำให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกด้วย วิธีนี้ยังสามารถใช้ได้กับการอ่านเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนเริ่มเรียนจริงได้อีกด้วยนะ เช่น หากเรามีเรียนในเช้าวันต่อมา คืนนี้เราอาจหยิบเนื้อหาที่จะเรียนวันพรุ่งนี้ แล้วอ่านบทสรุปของเนื้อหา เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยให้ผู้เรียนพอเห็นภาพรวมของเนื้อหาที่จะเรียนได้ดียิ่งขึ้นแล้ว |
|||
2. ปากกาไฮไลต์
ตัวช่วยเรื่องการจดจำ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้อ่านมักมีปัญหาระหว่างการขีดๆ
เขียนๆ ในเนื้อหา นั้นคือการไฮไลต์ที่มากเกินจำเป็น
หรือการทำเครื่องหมายสัญลักษณ์ต่างๆ มากมายจนลายตา
จึงกลายเป็นข้อผิดพลาดอีกประการหนึ่งที่ทำให้เวลาย้อนกลับมาอ่านนั้น
เกิดความสับสนและตาลาย ไม่สามารถแยกใจความสำคัญออกจากกันได้
เพราะขีดไฮไลต์ไปซะทุกบรรทัดที่อาจารย์ผู้สอนบอก
ซึ่งความจริงแล้วปากกาไฮไลต์ถือเป็นเครื่องช่วยเน้นใจความสำคัญของเนื้อหาได้ดีเลยทีเดียว
รวมถึงการเลือกใช้สีสันที่หลากหลายขีดส่วนที่สำคัญนั้น
ล้วนมีส่วนช่วยในเรื่องของการจดจำ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือการไฮไลต์ส่วนสำคัญที่อาจารย์ผู้สอนพูดสรุปไว้
ถึงแม้ว่าอาจารย์ผู้สอนจะพูดวกไปวนมา
แต่ท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีการกล่าวสรุปเนื้อหาทั้งหมดไว้ในส่วนท้าย
จุดนั้นจึงเป็นจุดที่ควรไฮไลต์หรือจดเพิ่มเติมมากที่สุด
และเมื่อเราเปิดหนังสือมาอ่านอีกครั้ง ก็สามารถเห็นประโยคใจความสำคัญที่เน้นไว้อย่างง่ายดายและช่วยประหยัดเวลาในการอ่าน
|
|||
3. อ่านหัวข้อที่น่าสนใจ
ประหยัดเวลาในการอ่าน
เทคนิคการอ่านนี้น่าสนใจไม่น้อย
เพราะเป็นการแก้ปัญหาการอ่านทุกบรรทัดแต่ไม่เข้าหัว และต้องประหลาดใจแน่ๆ
หากนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทราบว่านักวิชาการหรืออาจารย์ผู้สอนส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านหนังสือจนจบเล่ม
เพราะสิ่งที่เหล่านักวิชาการหรืออาจารย์ผู้สอนทำนั้นคือดูสารบรรณและหัวข้อที่น่าสนใจ
หรือใช้วิธีการอ่านผ่านๆ อย่างรวดเร็วด้วยการกวาดตา
จนเจอหัวข้อที่น่าสนใจถึงหยุดอ่านอย่างตั้งใจ
และการอ่านแบบนี้เองจะทำให้ช่วยประหยัดเวลาได้ดี
รวมถึงไม่ทำให้ผู้อ่านเบื่อหน่าย เพราะได้อ่านสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆ
นอกจากนี้การดูสารบรรณและหัวข้อย่อยของเนื้อหาจะทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพรวมของเนื้อหาในเล่ม
และได้รู้ลำดับเนื้อหาก่อนหลังของหนังสือได้อย่างเข้าใจ
|
|||
4. หาความรู้นอกห้องเรียน
จริงอยู่ที่การอ่านเป็นสิ่งที่ไม่สนุกเอาซะเลย ยิ่งอ่านหนังสือเล่มหนาๆ เนื้อหาหนักๆ ยิ่งทำให้เบื่อหน่าย แต่ถ้าเรารู้จักควบคุมสถานการณ์อันน่าเบื่อได้ การอ่านหนังสือเล่มโตอาจเปลี่ยนเป็นเรื่องง่ายไปเลยก็ได้ เช่นเดียวกันการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย แน่นอนว่านักศึกษาทุกคนมักเก็บรายละเอียดสิ่งที่อาจารย์ผู้สอนนั้นป้อนให้ รวมถึงการอ่านหนังสือที่อาจารย์มอบหมายให้อ่าน หากลองเปลี่ยนเป็นการหาหนังสือที่มีเนื้อหาเดียวกันกับสิ่งที่เรียนไว้อ่านเพิ่มเติมก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น การหาหนังสือในห้องสมุด หางานวิจัยต่างๆ เพิ่มความรู้ความเข้าใจ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้การอ่านไม่ซ้ำซากจำเจ
5. อย่าอ่านทุกคำ
ทุกตัวอักษร
ทุกคนคงมีความคิดที่ว่า “ยิ่งอ่านเยอะ ยิ่งได้ความรู้เยอะ” แต่ใช้ไม่ได้เสมอไป
เพราะยิ่งอ่านเยอะมากเท่าไหร่ หรืออ่านทุกๆ คำของเนื้อหา อาจทำให้สมองอ่อนล้าและได้รับข้อมูลที่มากเกินจำเป็น
จนพลอยปวดหัวเลิกอ่านไปในที่สุด ส่วนสาเหตุที่ไม่ให้อ่านทุกคำทุกตัวอักษรนั้น
เป็นเพราะหนังสือที่เราอ่านไม่ใช่หนังสือนิยายที่ต้องอ่านทุกคำโดยที่ไม่อยากพลาดส่วนใดส่วนหนึ่งของเนื้อหาไป
ส่วนหนังสือที่เราอ่านส่วนใหญ่นั้น
เนื้อหาบางอย่างผู้แต่งมักจะให้รายละเอียดซ้ำๆ
และมีการสรุปเนื้อหาไว้ท้ายสุดของเรื่อง
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอ่านทุกคำทุกรายละเอียด แต่จงอ่านด้วยการกวาดสายตา
เพื่อหาส่วนที่เป็นใจความสำคัญแล้วตั้งใจอ่าน
ทำความเข้าใจกับเนื้อหาส่วนนั้นมากกว่า
|
|||
6. เขียนสรุปมุมมองผู้อ่าน
คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเขียน พอๆ กับการอ่าน
แต่ลองดูสักหน่อยก็คงดี เพราะวิธีนี้จะต้องใช้การเขียนเข้ามาช่วย
และการเขียนนี้เองเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการรวบรวมข้อมูลสำคัญในระยะเวลาสั้นๆ
ได้ เช่น การที่เราอ่านหนังสือแล้วสรุปใจความสำคัญออกมาใส่กระดาษ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์ของผู้เขียน
ใจความสำคัญที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อสารกับผู้อ่าน
และการเขียนสรุปมุมมองของเราเองใส่ในโน๊ตย่อไว้อ่านสรุปนั้น
สามารถทำให้เราเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อให้ผู้อ่านได้อย่างดี
รวมถึงทำให้เราจดจำใจความสำคัญที่เราโน๊ตไว้ได้ดียิ่งขึ้น
ยิ่งเวลาใกล้สอบเข้ามาแล้วด้วย
ก็จะทำให้การอ่านหนังสือเป็นไปได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว
เพราะเราได้ทำการจดสรุปไว้แล้วนั่นเอง
7. จับกลุ่มคุยสิ่งที่อ่านมากับเพื่อนๆ
ต่อมาเป็นวิธีที่ช่วยให้การอ่านเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
นั่นคือการพูดคุยถึงสิ่งที่เราอ่านมากับเพื่อนๆ นั้นเอง
วิธีนี้มีส่วนช่วยในการจดจำสิ่งที่เราอ่านได้มากที่สุด
ยิ่งตอนจับกลุ่มคุยกับเพื่อนๆ พูดถึงเนื้อหาบางส่วนด้วยมุขตลกๆ ด้วยแล้ว
หรือจะสร้างวิธีการจดจำเนื้อหาด้วยประโยคหรือมุขเฉพาะตัว
ก็จะยิ่งทำให้จดจำได้ดีขึ้น
และเมื่อเราอยู่ในห้องสอบก็จะทำให้เราจำประเด็นนั้นได้
เพราะเราจะคิดถึงเรื่องตลกก่อน
ถือเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ทั้งผู้ฟังและผู้พูดได้ประโยชน์ร่วมกัน
และสร้างการจดจำเพื่อใช้ในการสอบได้ดีทีเดียว
|
|||
8. จดข้อสงสัยระหว่างการอ่าน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการอ่านหนังสือหรือเนื้อหาบทเรียนนั้น
จะต้องมีข้อสงสัยต่างๆ ตามมา
เพราะสิ่งที่ผู้เขียนนั้นอาจทำให้หลายคนเกิดข้อคิดชวนสงสัย
ไม่ว่าจะเป็นทำไมผู้เขียนถึงกล่าวแบบนี้
การอธิบายด้วยการหยิบยกหลักฐานมานั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับข้อโต้แย้งของผู้เขียนอย่างไร
รวมถึงผู้เขียนต้องการจะสื่อสารให้กับผู้อ่าน แน่นอนว่าการตั้งข้อสงสัยต่างๆ
ถึงเนื้อหาที่อ่านนั้น เป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้สมองเกิดการคิด
วิเคราะห์ระหว่างการอ่านไปด้วย ทำให้ผู้อ่านเกิดการจดจำและพยายามหาหลักฐาน
รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติมมาตอบคำถามข้อสงสัยนั้นๆ
ดังนั้นการตั้งคำถามระหว่างการอ่านจึงเป็นอีกวิธีที่ฝึกให้สมองหัดคิด
วิเคราะห์สิ่งที่อ่านไปด้วย และยังมีส่วนช่วยในการจดจำ
|
kizxblog
Akdong Musician(AKMU) - 얼음들(MELTED)
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559
8เทคนิคการอ่านหนังสือให้จำ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)